“Notifications” เฟซบุ๊คเพจแบบใหม่ VS. ระบบ Email Marketing
การทำการตลาดออนไลน์ สำหรับโลก MLM นั้น คนที่มีประสบการณ์ มีระบบ Email Marketing เป็นของตนเอง ต่างก็เข้าใจว่า นั่นคือ “หัวใจของการทำธุรกิจเครือข่ายออนไลน์”
เพราะมองในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ จนถึงในเรื่องการโปรโมทความเชี่ยวชาญใน "การสร้างแบรนด์ตนเอง" แล้ว ก็ถือว่าสิ่งนี้จำเป็นจริงๆ สำหรับนักธุรกิจเครือข่ายยุคใหม่ แต่ทว่า...ผลจากกระทบจากการเกิดขึ้นของเว็บเครือข่ายสังคม อย่าง เฟซบุ๊ค ทำให้แนวคิดเดิมนั้นลดความสำคัญลงไป และกำลังจะถูก “แทนที่” ด้วยสิ่งใหม่ในอีกไม่ช้า
บางครั้งการใช้คำว่า “แทนที่” อาจจะเกินไป และทำให้ นักเครือข่ายออนไลน์ หลายคนโต้แย้งก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ ก็ยังใช้ระบบนี้กันอยู่ และหลายๆ คนก็กำลังไปได้ดี
แต่ผมอยากให้ดูข้อมูลตรงนี้ก่อนครับ
เมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2555 ที่ผ่านมานี้นี่เอง เฟซบุ๊ค ทำให้คนที่กด Like ที่เพจ สามารถ “ติดตาม” ได้ทุกโพส ที่เพจนั้นโพส…โดยคุณสามารถกด คลิกที่ “Notifications” (รับการแจ้งเตือน) ให้มีเครื่องหมาย “ถูก” ในหน้าเพจ นั้นๆ ที่ท่านต้องการติดตาม (ดูรูปภาพด้านล่าง)
ครั้น เมื่อเพจนั้นโพส ข้อความ รูปภาพ แชร์วิดีโอ ขึ้นมา…โพสนั้น ก็จะไปขึ้นที่ “แจ้งเตือน” ของเรา (ที่รูปโลกมุมซ้ายบน)
การออกฟีเจอร์นี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ ?
ในมุมมองของผมนั้น สิ่งนี้ถือเป็น ฟีเจอร์ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อ “ฆ่า!!” ระบบ Email Marketing เลยทีเดียว ...เพราะว่า ถ้าผมจะต้องเสียเงินให้กับ ระบบ Email Marketing เดือนละ 500 – 1,000 บาท ผมจะเอาเงินตรงนั้นมาลงทุน โฆษณาเพจของผมกับเฟซบุ๊คแทน
ฟีเจอร์นี้ ทำให้นักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ สามารถที่จะเชื่อมปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนได้แบบ Real time
สิ่งที่มันเหนือกว่าระบบ Email Marketing ก็คือ การเชื่อมปฏิสัมพันธ์สำหรับ Email Marketing ต้องใช้ การเขียนบทความยาวๆ ซึ่งใช้ระยะเวลาและพละกำลังความคิดมหาศาล แตกต่างจาก การสื่อสารที่ Facebook Page ที่หลายๆ ครั้งเราสามารถเอาของคนอื่นมาได้บ้าง คิดเองบ้าง ทั้งรูปภาพ ข้อความดีๆ แง่คิดดีๆ วันหนึ่งๆ เราอาจโพสซัก 1-2 ครั้ง ก็ได้ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ที่ “ใกล้ชิดและง่าย” ยิ่งกว่าเดิมเป็นไหนๆ ใช่มั้ยล่ะครับ
มองในแง่มุมของผู้บริโภค ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ผมก็ชอบที่จะกด “รับแจ้งเตือน” จาก Facebook Page มากกว่าที่จะกรอก “ชื่อและอีเมล์” เข้าไปในระบบ Email Marketing แล้วตอนนี้ (หาก Page นั้นไม่โพสจนรกและนอกเรื่องมากเกินน่ะนะครับ ^^) เพราะมันรวดเร็ว ทันใจกว่าอีเมล์ ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นก็คือ หลังจากผมอ่านจบ ผมสามารถที่จะ "คอมเม้น" ถาม มีส่วนร่วม จนถึงแสดงความคิดเห็นได้เลย โดยไม่ต้องไปที่บล็อกโน่น นี่ นั่นต่อ
อีกประเด็นหนึ่งที่อยากให้พิจารณาก็คือ ถ้าถามว่า คนทั่วไป ส่วนใหญ่ “อยู่” ที่ไหนมากกว่ากัน ระหว่างการ “เช็คอีเมล์” กับ หน้า “New feeds” บนเฟซบุ๊ค ?
ผมคิดว่าคำตอบคงเป็นประเด็นอย่างหลัง…แต่การเหมารวมเลยก็คงไม่ได้ซะทีเดียว ถ้าให้ดูจากงายวิจัยด้านพฤติกรรมออนไลน์ของคนยุคนี้ ก็ต้องบอกว่า คนยุค Gen Y – Z นั้น อยู่ที่หน้าเฟซบุ๊คมากกว่า ถ้าเป็นคนยุค Gen-X ก็อาจจะเปิดดูอีเมล์ก่อน เพื่อเช็คอีเม์จากงานประจำ …แต่ผมก็เชื่อนะ ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป คนจะเปิดหน้าเฟซบุ๊คก่อนอีเมล์ ผมเองเป็นคนนึงที่เป็นเช่นนั้น เหตุผลอย่างหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้ก็คือ “เฟซบุ๊คมันสนุกกว่า!” …ใช่ แค่นั้นแหล่ะ!
บางคนอาจจะโต้แย้งว่า “ฉันใช้ ระบบ Email Marketing ก็ไปได้ดีนะ!”
โอ้ว! ใช่เลย ถ้าคุณมีระบบ Email Marketing อยู่แล้ว และมีคนติดตาม คุณมากมาย ก็ขอให้ใช้ต่อไป…ที่ผมจุดประเด็นนี้ขึ้นมาไม่ได้หมายความว่า ให้คุณยกเลิก สิ่งที่คุณมีมาก่อนและกำลังไปได้ดีนะครับ
แต่ผมกำลังจะบอกว่า หาก ระบบ Email Marketing นั้นยังไม่ทำให้คุณเกิดประสิทธิผลในธุรกิจมาก และถ้าคุณยังมี Lead ไม่เกินประมาณ 1,000 คน การพิจารณา ไม่ต้องเสียเงินจากระบบ Email Marketing ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สมควรพิจารณา
ส่วนนักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ที่กำลังจะเริ่มต้นสร้าง สิ่งเหล่านี้ ผมแนะนำเลยว่า โฟกัส ไปที่ “Facebook Page” ก่อนได้เลย และหากอยากได้แฟนคลับไวๆ ขอให้ลงทุนหน่อย อุดหนุนเฟซบุ๊คซะบ้าง อย่าเอาแต่โพสใน “กลุ่ม” ที่มีแต่สแปมโฆษณา มันจะเสียเวลาอันมีค่าของคุณเปล่าๆ น่ะ เชื่อสิ!
เวลาโพส ขอให้พิจารณา “Content” ด้วย ว่านักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ต้องนำเสนอ ต้องโพส อะไรบ้าง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ เก็บประสบการณ์ และสิ่งนี้จะเป็น “ทรัพย์สินระยะยาว” ให้กับชีวิตของคุณไปอีกนาน อย่างน้อยๆ ก็ตราบเท่าที่ เฟซบุ๊ค จะอยู่กับคุณนั่นแหล่ะเน้อ
ก่อนจบบทความนี้ขอเอา คลิปวิดีโอของ Erik Qualman ผู้เชี่ยวชาญด้าน Social Media ระดับโลก มาให้ดูกันครับ
ไฮไลท์ ของคลิปนี้ ผมสรุปออกมาเป็นดังนี้ครับ
เพราะมองในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ จนถึงในเรื่องการโปรโมทความเชี่ยวชาญใน "การสร้างแบรนด์ตนเอง" แล้ว ก็ถือว่าสิ่งนี้จำเป็นจริงๆ สำหรับนักธุรกิจเครือข่ายยุคใหม่ แต่ทว่า...ผลจากกระทบจากการเกิดขึ้นของเว็บเครือข่ายสังคม อย่าง เฟซบุ๊ค ทำให้แนวคิดเดิมนั้นลดความสำคัญลงไป และกำลังจะถูก “แทนที่” ด้วยสิ่งใหม่ในอีกไม่ช้า
บางครั้งการใช้คำว่า “แทนที่” อาจจะเกินไป และทำให้ นักเครือข่ายออนไลน์ หลายคนโต้แย้งก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ ก็ยังใช้ระบบนี้กันอยู่ และหลายๆ คนก็กำลังไปได้ดี
แต่ผมอยากให้ดูข้อมูลตรงนี้ก่อนครับ
เมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2555 ที่ผ่านมานี้นี่เอง เฟซบุ๊ค ทำให้คนที่กด Like ที่เพจ สามารถ “ติดตาม” ได้ทุกโพส ที่เพจนั้นโพส…โดยคุณสามารถกด คลิกที่ “Notifications” (รับการแจ้งเตือน) ให้มีเครื่องหมาย “ถูก” ในหน้าเพจ นั้นๆ ที่ท่านต้องการติดตาม (ดูรูปภาพด้านล่าง)
การออกฟีเจอร์นี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ ?
ในมุมมองของผมนั้น สิ่งนี้ถือเป็น ฟีเจอร์ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อ “ฆ่า!!” ระบบ Email Marketing เลยทีเดียว ...เพราะว่า ถ้าผมจะต้องเสียเงินให้กับ ระบบ Email Marketing เดือนละ 500 – 1,000 บาท ผมจะเอาเงินตรงนั้นมาลงทุน โฆษณาเพจของผมกับเฟซบุ๊คแทน
ฟีเจอร์นี้ ทำให้นักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ สามารถที่จะเชื่อมปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนได้แบบ Real time
สิ่งที่มันเหนือกว่าระบบ Email Marketing ก็คือ การเชื่อมปฏิสัมพันธ์สำหรับ Email Marketing ต้องใช้ การเขียนบทความยาวๆ ซึ่งใช้ระยะเวลาและพละกำลังความคิดมหาศาล แตกต่างจาก การสื่อสารที่ Facebook Page ที่หลายๆ ครั้งเราสามารถเอาของคนอื่นมาได้บ้าง คิดเองบ้าง ทั้งรูปภาพ ข้อความดีๆ แง่คิดดีๆ วันหนึ่งๆ เราอาจโพสซัก 1-2 ครั้ง ก็ได้ ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ที่ “ใกล้ชิดและง่าย” ยิ่งกว่าเดิมเป็นไหนๆ ใช่มั้ยล่ะครับ
มองในแง่มุมของผู้บริโภค ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ผมก็ชอบที่จะกด “รับแจ้งเตือน” จาก Facebook Page มากกว่าที่จะกรอก “ชื่อและอีเมล์” เข้าไปในระบบ Email Marketing แล้วตอนนี้ (หาก Page นั้นไม่โพสจนรกและนอกเรื่องมากเกินน่ะนะครับ ^^) เพราะมันรวดเร็ว ทันใจกว่าอีเมล์ ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นก็คือ หลังจากผมอ่านจบ ผมสามารถที่จะ "คอมเม้น" ถาม มีส่วนร่วม จนถึงแสดงความคิดเห็นได้เลย โดยไม่ต้องไปที่บล็อกโน่น นี่ นั่นต่อ
อีกประเด็นหนึ่งที่อยากให้พิจารณาก็คือ ถ้าถามว่า คนทั่วไป ส่วนใหญ่ “อยู่” ที่ไหนมากกว่ากัน ระหว่างการ “เช็คอีเมล์” กับ หน้า “New feeds” บนเฟซบุ๊ค ?
ผมคิดว่าคำตอบคงเป็นประเด็นอย่างหลัง…แต่การเหมารวมเลยก็คงไม่ได้ซะทีเดียว ถ้าให้ดูจากงายวิจัยด้านพฤติกรรมออนไลน์ของคนยุคนี้ ก็ต้องบอกว่า คนยุค Gen Y – Z นั้น อยู่ที่หน้าเฟซบุ๊คมากกว่า ถ้าเป็นคนยุค Gen-X ก็อาจจะเปิดดูอีเมล์ก่อน เพื่อเช็คอีเม์จากงานประจำ …แต่ผมก็เชื่อนะ ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป คนจะเปิดหน้าเฟซบุ๊คก่อนอีเมล์ ผมเองเป็นคนนึงที่เป็นเช่นนั้น เหตุผลอย่างหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้ก็คือ “เฟซบุ๊คมันสนุกกว่า!” …ใช่ แค่นั้นแหล่ะ!
บางคนอาจจะโต้แย้งว่า “ฉันใช้ ระบบ Email Marketing ก็ไปได้ดีนะ!”
โอ้ว! ใช่เลย ถ้าคุณมีระบบ Email Marketing อยู่แล้ว และมีคนติดตาม คุณมากมาย ก็ขอให้ใช้ต่อไป…ที่ผมจุดประเด็นนี้ขึ้นมาไม่ได้หมายความว่า ให้คุณยกเลิก สิ่งที่คุณมีมาก่อนและกำลังไปได้ดีนะครับ
แต่ผมกำลังจะบอกว่า หาก ระบบ Email Marketing นั้นยังไม่ทำให้คุณเกิดประสิทธิผลในธุรกิจมาก และถ้าคุณยังมี Lead ไม่เกินประมาณ 1,000 คน การพิจารณา ไม่ต้องเสียเงินจากระบบ Email Marketing ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สมควรพิจารณา
ส่วนนักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ที่กำลังจะเริ่มต้นสร้าง สิ่งเหล่านี้ ผมแนะนำเลยว่า โฟกัส ไปที่ “Facebook Page” ก่อนได้เลย และหากอยากได้แฟนคลับไวๆ ขอให้ลงทุนหน่อย อุดหนุนเฟซบุ๊คซะบ้าง อย่าเอาแต่โพสใน “กลุ่ม” ที่มีแต่สแปมโฆษณา มันจะเสียเวลาอันมีค่าของคุณเปล่าๆ น่ะ เชื่อสิ!
เวลาโพส ขอให้พิจารณา “Content” ด้วย ว่านักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ต้องนำเสนอ ต้องโพส อะไรบ้าง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ เก็บประสบการณ์ และสิ่งนี้จะเป็น “ทรัพย์สินระยะยาว” ให้กับชีวิตของคุณไปอีกนาน อย่างน้อยๆ ก็ตราบเท่าที่ เฟซบุ๊ค จะอยู่กับคุณนั่นแหล่ะเน้อ
ก่อนจบบทความนี้ขอเอา คลิปวิดีโอของ Erik Qualman ผู้เชี่ยวชาญด้าน Social Media ระดับโลก มาให้ดูกันครับ
ไฮไลท์ ของคลิปนี้ ผมสรุปออกมาเป็นดังนี้ครับ
(1) Gen Y - Gen Z ส่วนใหญ่ไม่เช็คอีเมล์
(2) บางมหาวิทยาลัย "เลิก" ใช้อีเมล์แว้ววววว!! ซะงั้น!
(3) 53% ผู้คนแนะนำสินค้าและบริการ ด้วยการ ทวีทผ่านทวิตเตอร์
(4) 90% ผู้บริโภค เชื่อ การแนะนำจากเพื่อน และ มีเพียง 14% ที่เชื่อ โฆษณา
(5) นักการตลาดจะใช้ Social Media สำหรับธุรกิจถึง 93%
(6) "ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จาก Social Media สำหรับธุรกิจคุณ อยู่ที่ 5 ปี" - Erik Qualman
(7) ก้าวสู่การเปลี่ยนจาก "Word of Mouth" เป็น "World of Mouth"
ส่วนท่านมีความคิดเห็นใดเพิ่มเติม หรือเห็นต่าง ลองมาแชร์กันครับ :)
ส่วนท่านมีความคิดเห็นใดเพิ่มเติม หรือเห็นต่าง ลองมาแชร์กันครับ :)
"ในการพูด 100 คำ เป็นไปได้ว่าผมอาจพูดผิดถึง 90 คำ
ขอให้เลือกเอา 10 คำ ที่คุณคิดว่าถูก และนำไปใช้"