3 ทักษะ ของผู้ที่ประสบความสำเร็จ
มีการสำรวจความคิดเห็น คนที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกจำนวน 1,000 คน ว่าเขาทั้งหลาย มีทักษะความสามารถด้านใดบ้าง ที่แตกต่างจากคนทั่วไป ผลสำรวจพบว่า...ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ ตอบออกมาเป็น 3 ประเด็นคือ
มาดู "ทักษะด้านคน" กันบ้าง
...ตัวอย่างข้างบนของผม เป็นภาพง่ายๆ จากประสบการณ์ตรง กับการสร้างสรรค์ทางความคิด เพื่อต่อยอดชีวิตและธุรกิจของเราต่อไป
1) ทักษะด้านความรู้ (Technical Skill)
2) ทักษะด้านคน (Human Skill)
3) ทักษะด้านการคิด (Thinking Skill)
3) ทักษะด้านการคิด (Thinking Skill)
"ทักษะด้านความรู้" เราได้มาจากระบบการศึกษา ความรู้ ที่ร่ำเรียนมา เราได้ประสบการณ์ในวิชาชีพของเรา จากการทำงานจริงๆ นอกจากนั้น เราได้จากการอ่านหนังสือ อ่านบทความดีๆ จากอินเตอร์เน็ต เข้าฟังอบรมต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิด "ทักษะด้านความรู้"
ภาษิตจีน มีถ้อยคำหนึ่ง ชี้ชัดทักษะนี้ได้ดีคือ ถ้อยคำที่บอกว่า "การเรียนรู้ คือ สมบัติที่ติดตัวเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง"
เมื่อก่อน แหล่ง "ความรู้" ของผม คือ หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค และนิตยสาร เป็นหลัก ล่าสุด มี "แท๊บเล็ต" ผมจึงเน้นซื้อ "E-book , E-Magazine รายปี" ด้วยเหตุ ความสะดวกในการพกพา และความประหยัด ที่มากกว่า
ผมจะเน้นการอ่านหนังสือ พ็อคเก็ตบุ๊ค เป็นหลัก เพราะเป็นการเจาะ "ทักษะด้านความรู้" ได้เฉพาะทาง ใน "มุมมองประสบการณ์" ของแต่ละบุคคล มีความลึกซึ๊ง ทั้งทางด้าน "วิธีคิด" และ "วิธีการ" ที่มาจากการ "ลงมือทำ" จริงๆ ซึ่งสิ่งนี้แหล่ะ สำคัญต่อการเรียนรู้มากที่สุด
ในขณะที่นิตยสาร หรือบทความทางอินเตอร์เน็ตนั้น ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับ 2 "สื่อ" เหล่านี้ เปรียบเสมือน การรายงานข่าว วิเคราะห์ข้อมูล หรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มากกว่าที่จะให้มุมมองและประสบการณ์ที่ลึกซึ๊ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ ผู้เขียน ว่ามี "ความเชี่ยวชาญ" "ประสบการณ์" ในระดับไหน
ซึ่งเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องรับรู้ "ข้อมูล" ใหม่ๆ เหล่านี้อยู่เสมอ เพื่อ "ประยุกต์ ปรับใช้ ต่อยอด" ได้รวดเร็วกว่าผู้อื่นที่แข่งอยู่ในวงการธุรกิจของเรา
ผมซื้อหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คมามากกว่า 1,000 เล่ม แม้ไม่ได้อ่านหมดทุกเล่ม แต่หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คเปรียบเสมือน "ของสะสม" ของผมไปซะแว้ววว หุหุ...เวลาที่ผมเห็นหนังสือกองอยู่ในบ้าน ผม "รู้สึก" ว่าผมมี "ทรัพย์สมบัติ" มหาศาล โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเอาทรัพย์สมบัติไปจากผม และแม้จะขโมยหนังสือผมไป ผมก็ยังยิ้มได้อยู่นะ ^______^
ขงเบ้ง กล่าวว่า "ความรู้ คือ อำนาจ"
ทุกวันนี้ผมยังทะยอยอ่าน และซื้อหนังสืออย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ก็ลงมือทำ "ลองผิดลองถูก" เพื่อให้เกิด "ประสบการณ์"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า "แหล่งที่มาของความรู้ก็ คือ ประสบการณ์นั่นเอง"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า "แหล่งที่มาของความรู้ก็ คือ ประสบการณ์นั่นเอง"
...ผมเคยแนะนำให้คนอ่านหนังสือ เค้าตอบกลับมาว่า "ฉันมีความคิดเป็นของฉันเอง ไม่ต้องอ่านหนังสือให้ใครมาชี้นำชีวิตฉัน!"
โอ๊ววว...ม่ายยย...ผมเจอคำนี้เข้าไป ผมเลยยิ้มๆ และเดินจากไปอย่างเงียบๆ... หลายครั้ง อคติทางความคิด... สติปัญญาที่มืดบอด...มักเป็น "ข้ออ้าง" ของคนเราเสมอ... ผมมักจะทนอยู่กับคนแบบนี้ได้ไม่นานนัก เพราะทำให้ผมหมดกำลังใจ ทั้งในใจก็ยังนึกสงสาร แต่ก็ต้องปล่อยวาง
ภาษิตจีน มีประโยคหนึ่ง ตอบได้ชัดเจนในเรื่องนี้ว่า "เรารู้ว่าหนังสือไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้คนอื่นมาคิดแทนเรา แต่มันคือ เครื่องมือกระตุ้นที่ทำให้เราคิดได้ไกลมากยิ่งขึ้น"
หากเราลองศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จ และมั่งคั่งร่ำรวยในระดับโลกอย่าง บิล เกตส์ วอร์เรน บัฟเฟต หรือ ลี คาชิง ทุกคนล้วนเป็นนักอ่านตัวยงกันทั้งนั้น
หลังจากที่เรียนจบมา หากเราทุกคนหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ก็คงจะดีไม่น้อย...
หลังจากที่เรียนจบมา หากเราทุกคนหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ก็คงจะดีไม่น้อย...
เดล คาร์เนกี้ นักเขียน นักพูดระดับตำนาน กล่าวว่า "ความสำเร็จอันแท้จริงของมนุษย์ มาจากการได้รับความร่วมมือของคนอื่นๆ ซึ่งได้มาด้วยวิธีการจูงใจ และจะจูงใจคนได้นั้น ก็ต้องชนะใจคนเหล่านั้นเสียก่อน ดังนั้น มนุษยสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสียอีก"
ในยุคสมัยของ เดล คาร์เนกี้ เรายังไม่มีวิวัฒนาการของการสื่อสารได้แบบยุคนี้...การติดต่อผู้คนล้วนต้องอาศัยการมีมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างมาก
"มนุษยสัมพันธ์" คำนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในยุคแห่งโลกโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค....เว็บเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ค เป็นการปฏิวัติ วงการ "เพื่อน" ของคนเกือบทั้งโลกเลยก็ว่าได้...เราสามารถมีเพื่อน ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มากกว่ายุคเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า เมื่อมีคนมาขอเป็น "เพื่อน" ผมบนเฟซบุ๊ค จากนั้นเค้าก็โฆษณา สินค้าหรือบริการ ให้กับผมทันที!...โดยไม่มีการแนะนำตนเอง ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการเชื่อมความสัมพันธ์ ผมมองไม่ออกเลยว่า การทำธุรกิจแบบนี้ จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?
การสื่อสารบนเฟซบุ๊ค อย่าง "ถูกทาง" ควรจะสื่อสารผ่าน "Fanpage"...โฆษณาสินค้า และบริการต่างๆ ไม่ควรใส่ใน "Profile" มากจนเกินไป เพราะเพื่อน เราไม่ได้อยากรู้ธุรกิจอะไรของเรานักหรอกน่ะ! รู้ไว้ซะด้วย บร๊ะ!
นอกจากทำให้ผู้อื่นรำคาญแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคลิก "ปิดรับข้อมูล" จากเรา หรือ แจ้งรายงานเฟซบุ๊คว่าเป็น "สแปม" และสุดท้ายก็ "Block" เราไปเลย ซึ่งผมเองก็ทำเช่นนี้แหล่ะ สำหรับคนเอาแต่ บ้าโฆษณา
"สแปมเฟซบุ๊ค" ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงขณะนี้ มักเกิดขึ้นจาก "Group" ที่ส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาแล้วโพสธุรกิจทันที! ผมเองอยู่ในช่วงที่เฟซบุ๊ค Group เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกๆ จึงทำให้เห็น ธรรมชาติของ Group แต่ละกลุ่ม และทำให้รู้ว่า...กลุ่มไหนที่มีแต่การโฆษณา หรือคนไหนที่พูดแต่เรื่องโฆษณา ผู้คนจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ สังคมที่ดีจะไม่เกิด และสุดท้ายกลุ่มนั้นก็ไม่มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นหรือมีส่วนร่วมอีก
คำแนะนำของผม เมื่อเราถูกดึงเข้าไปที่กลุ่ม ที่สร้าง Group ขึ้นมาเพื่อโฆษณา ให้เราช่วยกัน กด "รายงานผู้ดูแล" เพื่อแจ้งทางเฟซบุ๊ค
คำแนะนำของผม เมื่อเราถูกดึงเข้าไปที่กลุ่ม ที่สร้าง Group ขึ้นมาเพื่อโฆษณา ให้เราช่วยกัน กด "รายงานผู้ดูแล" เพื่อแจ้งทางเฟซบุ๊ค
แต่...ให้สังเกต เนื้อหา และดูที่ "เกี่ยวกับ" ก่อน...ซึ่งจะอธิบายกลุ่มนั้นว่าสร้างขึ้นมาด้วย "วัตถุประสงค์" อะไร ?...เพราะมีอีกหลายกลุ่ม ที่ดีต่อการเรียนรู้ ทั้งในด้าน "ชีวิต" และ "ธุรกิจ" โดยกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่ จะไม่อนุญาตให้โฆษณาสินค้าและบริการ โดยสามารถเข้ามาเขียน "บทความ" หรือแบ่งปัน "ความรู้" ตามวัตถุประสงค์ ของกลุ่มนั้นๆ
กลุ่มแบบนี้ จะมีคนร่วม "แสดงความคิดเห็น" กันเยอะ ทำให้เกิดการ "ระดมความคิด" ...ซึ่งสิ่งนี้ คือ "ภูมิปัญญา" สำเร็จรูป ที่มี "คุณค่า" ที่เราสามารถนำไปใช้ได้อย่างดี
ผมขอแนะนำบาง Group ที่ดีต่อการเรียนรู้และไม่อนุญาตให้โฆษณา เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ง่ายๆ บนเฟซบุ๊คดังนี้
วาทะจากหอสมุดสภาคองเกรซ มีถ้อยคำอยู่ในนั้นว่า "การอ่านทำให้เติมเต็ม...การร่วมคิด...ทำให้พร้อมพรั่ง และการเขียน...ทำให้แน่วแน่"
พูดถึงเรื่อง "การโฆษณา"...ความจริงไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากแต่ต้องใช้ให้ถูก "กาลเทศะ" ของสังคมที่เราเข้าไป...หากเราจะใช้ เฟซบุ๊ค เป็นช่องทางการเปิดตลาดการค้าขาย และการทำการตลาด เข้าถึงผู้คนมากกว่า 850 ล้านคน! เราก็ต้องเรียนรู้ว่า "วัฒนธรรมบนเฟซบุ๊ค" นั้นเป็นอย่างไร ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิต กันแบบไหน สิ่งนี้ไม่ได้แตกต่างจากในโลกของออฟไลน์ ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน
มันเป็นเรื่องตลก เมื่อเรามองเห็นภาพว่า...เราไปเปิดตลาดการค้าในประเทศจีน แล้วเราก็พูดเปล่าประกาศเป็น "ภาษาอังกฤษ" !! ...คุณคิดว่า นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ จริงมั้ยล่ะ!
สิ่งนี้จึงเป็นโจทย์ ให้เราได้ขบคิดต่อว่า...หากเราจะใช้โลกเฟซบุ๊ค ในการทำธุรกิจ เราจะสื่อสารยังไง ?...
เอาล่ะ ! ไปฝึก "วิธีการสื่อสาร" เรียนรู้พฤติกรรมผู้คน บนโลกเฟซบุ๊คกันได้แล้ววววว!
เอาล่ะ ! ไปฝึก "วิธีการสื่อสาร" เรียนรู้พฤติกรรมผู้คน บนโลกเฟซบุ๊คกันได้แล้ววววว!
และสุดท้าย... "ทักษะด้านการคิด"
ทักษะด้านนี้ถือเป็นทักษะที่สำคัญมากที่สุด จากการสำรวจผู้ประสบความสำเร็จ ทั้ง 1,000 คน...ส่วนใหญ่ ทักษะด้านนี้เราได้มาจากการ "แก้ปัญหา" ทั้งเรื่อง "ชีวิต" "ธุรกิจ" หรือ "งานที่เราทำ"...
มนุษย์เราเป็นสิงมีชีวิต ที่มองหาความสุขสบาย ความสนุกสนาน มองหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า มองหาสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นอยู่อย่างเสมอ โดยสัญชาติญาณ
หากปราศจาก "การคิด" ของ เอดิสัน...วันนี้เราคงไม่มี "หลอดไฟฟ้า"
หากปราศจาก "การคิด" ของ พี่น้อง ตระกูล ไรท์...วันนี้เราคงไม่มี "เครื่องบิน"
หากปราศจาก "การคิด" ของ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบล...วันนี้เราคงไม่มี "โทรศัพท์"
หากปราศจาก "การคิด" ของ บิล เกตส์...วันนี้เราคงยังไม่ได้ใช้ "คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต"
บรูซ ลี ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การต่อสู้ระดับตำนาน ถึงกับกล่าวว่า "ความคิด คือ จุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จทั้งมวล"
ขงจื๊อ กล่าวว่า "อ่านหนังสือ โดยไม่ค้นคิด การอ่านจะไม่ได้อะไร...ค้นคิดโดยไม่อ่านหนังสือ การค้นคิดจะสูญเปล่า"
เรื่อง "การคิด" สำหรับผม เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา...สิ่งแรกเลย ในขณะที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ ผมต้อง "คิด" ก่อน...ว่าจะถ่ายทอดให้คนอื่นฟังอย่างไรดี และจะใส่ทิป เทคนิค อะไรให้ติด SEO ในกูเกิ้ล ให้ผู้อื่นค้นเจอบทความผมบ้าง
การเขียนบทความลงบล็อก ถือเป็นการพัฒนา "ทักษะด้านการคิด" ของผม...จากนั้นผมคิดว่า บทความของผม จะสามารถรวมเป็น "หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค" สักเล่ม ไ้ด้หรือไม่...ว่าแต่...ผมจะเขียนเรื่องไร ดีล่ะ ?
เวลาที่เรามี "คำถาม" ให้กับหัวสมองของเราได้คิด...หมายถึง เรากำลังจะพัฒนาทักษะด้าน "การคิด" โดยที่เราไม่รู้ตัว
ผมขอยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพ เช่น
- หากผมต้องการเขียนหนังสือ เรื่องเกี่ยวกับ "มะเร็ง" ที่ผมเคยเป็นมา ---> ผมจะโปรโมทที่หน้าปกว่า...เภสัชกรผู้ผ่านมะเร็ง มาแล้วสองครั้ง ในระยะเวลากว่า 6 ปี แนะนำ การเอาชนะมะเร็งด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ?
หากผมเขียน หน้าปกไว้แบบนั้น ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ผู้คนจะอยากรู้แล้วล่ะ ว่าผมกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวไหนบ้าง ถ้าหากคนในครอบครัวนั้นมีคนเป็นมะเร็งอยู่ ---> จากนั้นผมก็คิดต่อว่า แล้วจะใช้ชื่อเรื่องอะไร ? แง่มุมไหน ที่ประสบการณ์ของผม จะเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นมากที่สุด ? จะถ่ายทอดยังไงให้ดูน่าสนใจ ---> ดังนั้น การเขียนบทความ หรือเขียนหนังสือ จึงทำให้เกิด "ทักษะการคิด" ได้เป็นอย่างดี
หากผมเขียน หน้าปกไว้แบบนั้น ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ผู้คนจะอยากรู้แล้วล่ะ ว่าผมกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวไหนบ้าง ถ้าหากคนในครอบครัวนั้นมีคนเป็นมะเร็งอยู่ ---> จากนั้นผมก็คิดต่อว่า แล้วจะใช้ชื่อเรื่องอะไร ? แง่มุมไหน ที่ประสบการณ์ของผม จะเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นมากที่สุด ? จะถ่ายทอดยังไงให้ดูน่าสนใจ ---> ดังนั้น การเขียนบทความ หรือเขียนหนังสือ จึงทำให้เกิด "ทักษะการคิด" ได้เป็นอย่างดี
เมื่อผมคิดว่า จะเขียนหนังสือ สิ่งที่ผมคิดต่อคือ...ผมอาจจะเขียนลงบล็อก และใช้เครื่องมือทางการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกยุคนี้ ในการโปรโมท สิ่งที่ผมเขียนออกไปผ่าน เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ กูเกิ้ล พลัส....
จากนั้นเมื่อผมเป็นที่รู้จัก บนโลกออนไลน์ ผมก็เริ่ม "ต่อยอด" ด้วยการเอาบทความเก่าๆ ที่ผมเขียนมา ปรับเข้ากับ ยุคปัจจุบัน และสร้างสรรค์ หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค เพื่อเสนอสำนักพิมพ์ต่างๆ
ถึงจุดนี้...ด้วยความที่ผมมี ผู้ติดตามผมบนโลกออนไลน์ อยู่มากมาย สำนักพิมพ์ ที่ผมนำไปเสนอ ก็จะมองผมในแง่มุม ที่ต่างออกไป เพราะถือว่า ขายตนเอง ไ้ด้ในระดับหนึ่งใน Google อยู่แล้ว
ถึงจุดนี้...ด้วยความที่ผมมี ผู้ติดตามผมบนโลกออนไลน์ อยู่มากมาย สำนักพิมพ์ ที่ผมนำไปเสนอ ก็จะมองผมในแง่มุม ที่ต่างออกไป เพราะถือว่า ขายตนเอง ไ้ด้ในระดับหนึ่งใน Google อยู่แล้ว
นี่อาจจะเป็น อีกกลยุทธ์หนึ่งในการสร้าง "ชีวิต" และรายได้แบบ "Passive Income" ที่สามารถทำได้นอกจาก "ธุรกิจเครือข่าย" ซึ่งผมเคยพูดถึงมาตลอด ในเรื่องการสร้าง "ทักษะออนไลน์"
...ตัวอย่างข้างบนของผม เป็นภาพง่ายๆ จากประสบการณ์ตรง กับการสร้างสรรค์ทางความคิด เพื่อต่อยอดชีวิตและธุรกิจของเราต่อไป
ความสำเร็จบนโลกออนไลน์ในยุคนี้ ต้องเริ่มมาจาก "การให้โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน" ...คนในยุคดั้งเดิม ที่ทำธุรกิจเครือข่าย และไม่ใช้ "ระบบการตลาดแบบดึงดูด" (Attraction Marketing) เพื่อต่อยอดสู่ Social Media Marketing นั้นกำลังจะตกยุค ลงไปทุกทีแล้ว! เพราะคนรุ่นใหม่ เบื่อ เซ็ง "วิธีการ" เก่าๆหมดแล้วล่ะ !
ยังมีบางคนชอบเพ้อเจ้อ และโต้แย้ง ขึ้นมาอีกว่า "ยังไม่เห็นคนทำออนไลน์ แล้วสำเร็จในโลกธุรกิจเครือข่ายซักคน !!"
โมเดลความสำเร็จ ธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ในระดับโลก อยู่ทางฝั่งอเมริกา ไม่ใช่ที่เมืองไทย ผมขอยกตัวอย่าง Mile Dillard คนนี้ชัดเจนที่สุด ในเรื่องการประยุกต์ การตลาดออนไลน์ เข้ากับโลก MLM ได้อย่างเกิดประสิทธิผลมากที่สุด
เราไปดูผลลัพท์ เมื่อปี 2010 ของเขา...ว่ารายได้เท่าไหร่ ? อยู่อันดับไหนในโลก MLM ?... ทั้งๆ ที่อายุสามสิบต้นๆ เท่านั้น !!
แต่...ก็ไม่ใช่ว่าเมืองไทย จะไม่มีคนเก่งๆ ที่นำ "ระบบการตลาดแบบดึงดูด" มาใช้นะครับ ! ที่ผมเห็นเด่นๆ ในเมืองไทยก็มี คุณกมลเวช เมืองศรี อาจารย์พจน์ นิรมิตานนนท์ อาจารย์ธนกร และคุณพลวัฒน์ ปานคำ ฯลฯ
ทุกคนที่ผมกล่าวมา ต่างใช้ "ระบบการตลาดแบบดึงดูด" ทั้งนั้น ทุกคนล้วนเป็นครูของผมทั้งออฟไลน์และออนไลน์...สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนทุกคนที่ผมกล่าวมา ล้วนสามารถ "ต่อยอด" สู่การเป็น "จัดคอร์สอบรม" ให้กับนักธุรกิจเครือข่ายที่กำลังจะเดินบนเส้นทางนี้ได้เป็นอย่างดี...คนที่ผมพูดมาไม่ว่าจะไปบริษัทไหน ก็จะไปกันเป็น "ทีม" เนื่องจากมีการให้ "คุณค่า" การเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลา (คล้ายๆ กับคนที่ทำ MLM มา 20 ปีในยุคเก่าเลยสินะครับ ^____^ )
สิ่งเหล่านี้คือ "ทักษะออนไลน์" ที่ผมพยายามพูดตอกย้ำให้กับ นักธุรกิจเครือข่ายรุ่นใหม่ ให้เข้าใจ ตลอดมา ว่าอย่ามองแต่เรื่อง "เงิน" เมื่อคุณเข้าสู่ธุรกิจเครือข่าย ให้ถามตนเองว่า "คนและทีม" ที่เราไปสมัครด้วย "มีทักษะออฟไลน์และออนไลน์อะไรให้เราเรียนรู้บ้าง ???"
ในยุคที่มี "เนื้อหา" ข้อมูลข่าวสารล้นโลก!...."การสร้างสรรค์ทางความคิด" จะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ถ้าคุณไม่แปลก แตกต่าง โดดเด่น และเป็นประโยชน์ ก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้เลยในโลกยุคนี้
ยังมีบางคนชอบเพ้อเจ้อ และโต้แย้ง ขึ้นมาอีกว่า "ยังไม่เห็นคนทำออนไลน์ แล้วสำเร็จในโลกธุรกิจเครือข่ายซักคน !!"
โมเดลความสำเร็จ ธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ในระดับโลก อยู่ทางฝั่งอเมริกา ไม่ใช่ที่เมืองไทย ผมขอยกตัวอย่าง Mile Dillard คนนี้ชัดเจนที่สุด ในเรื่องการประยุกต์ การตลาดออนไลน์ เข้ากับโลก MLM ได้อย่างเกิดประสิทธิผลมากที่สุด
เราไปดูผลลัพท์ เมื่อปี 2010 ของเขา...ว่ารายได้เท่าไหร่ ? อยู่อันดับไหนในโลก MLM ?... ทั้งๆ ที่อายุสามสิบต้นๆ เท่านั้น !!
แต่...ก็ไม่ใช่ว่าเมืองไทย จะไม่มีคนเก่งๆ ที่นำ "ระบบการตลาดแบบดึงดูด" มาใช้นะครับ ! ที่ผมเห็นเด่นๆ ในเมืองไทยก็มี คุณกมลเวช เมืองศรี อาจารย์พจน์ นิรมิตานนนท์ อาจารย์ธนกร และคุณพลวัฒน์ ปานคำ ฯลฯ
ทุกคนที่ผมกล่าวมา ต่างใช้ "ระบบการตลาดแบบดึงดูด" ทั้งนั้น ทุกคนล้วนเป็นครูของผมทั้งออฟไลน์และออนไลน์...สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนทุกคนที่ผมกล่าวมา ล้วนสามารถ "ต่อยอด" สู่การเป็น "จัดคอร์สอบรม" ให้กับนักธุรกิจเครือข่ายที่กำลังจะเดินบนเส้นทางนี้ได้เป็นอย่างดี...คนที่ผมพูดมาไม่ว่าจะไปบริษัทไหน ก็จะไปกันเป็น "ทีม" เนื่องจากมีการให้ "คุณค่า" การเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลา (คล้ายๆ กับคนที่ทำ MLM มา 20 ปีในยุคเก่าเลยสินะครับ ^____^ )
สิ่งเหล่านี้คือ "ทักษะออนไลน์" ที่ผมพยายามพูดตอกย้ำให้กับ นักธุรกิจเครือข่ายรุ่นใหม่ ให้เข้าใจ ตลอดมา ว่าอย่ามองแต่เรื่อง "เงิน" เมื่อคุณเข้าสู่ธุรกิจเครือข่าย ให้ถามตนเองว่า "คนและทีม" ที่เราไปสมัครด้วย "มีทักษะออฟไลน์และออนไลน์อะไรให้เราเรียนรู้บ้าง ???"
ในยุคที่มี "เนื้อหา" ข้อมูลข่าวสารล้นโลก!...."การสร้างสรรค์ทางความคิด" จะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ถ้าคุณไม่แปลก แตกต่าง โดดเด่น และเป็นประโยชน์ ก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้เลยในโลกยุคนี้
"ทักษะด้านการคิด" จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าสิ่งที่คุณคิด และคุณเขียนลงไปในบล็อก ไม่มีคนเห็นสิ่งนั้นเลย หรือไม่เห็นด้วย ไม่เชื่อคุณซักคน นั่นจะเป็นเรื่องแปลกมาก!
มันอาจแสดงว่า ความคิดของคุณมันสุดยอดจนผู้อื่นตามไม่ทัน หรือว่ามันเห่ย จนไม่มีใครเหลียวมอง ไม่อยากกด "ถูกใจ" และส่งต่อ ...มันก็เป็นเื่รื่องต้องคิดกันยาวเลยล่ะ!
มันอาจแสดงว่า ความคิดของคุณมันสุดยอดจนผู้อื่นตามไม่ทัน หรือว่ามันเห่ย จนไม่มีใครเหลียวมอง ไม่อยากกด "ถูกใจ" และส่งต่อ ...มันก็เป็นเื่รื่องต้องคิดกันยาวเลยล่ะ!
สรุปก็คือ เราสามารถนำ "ทักษะด้านความรู้" ที่กลั่นกรองมาจาก "ประสบการณ์" แล้วมาปรับใช้เข้ากับ "ทักษะด้านการคิด" เพื่อสร้างสรรค์ "ผลงาน" ขึ้นมา...สิ่งที่เรียกว่า "ผลงาน" จะเป็น "ทรัพย์สินระยะยาว" มันอาจเป็น "Passive Income" ทั้งชีวิตของเราเลยก็เป็นได้
คำถามคือ..."คุณจะใช้ ทักษะด้านการคิด ของคุณในรูปแบบใด? และทำอย่างไร ? เพื่อพัฒนาทักษะนี้ขึ้นมาล่ะ?"
สรุปทั้ง 3 ทักษะที่กล่าวมาทั้งหมด....
สรุปทั้ง 3 ทักษะที่กล่าวมาทั้งหมด....
ในยุคนี้ต้นทุนการเรียนรู้ ต่ำลงเป็นอย่างมาก มนุษย์ยุคนี้สามารถเข้าถึง "ทักษะด้านความรู้" ได้ง่ายที่สุด ขอเพียงมีอินเตอร์เน็ต แต่...แค่นั้นยังไม่เพียงพอต่อความสำเร็จ เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีเครื่องมือนี้เหมือนกัน...
ขั้นตอนต่อมาที่สำคัญคือ "ทักษะด้านการคิด" เราสามารถหาหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค จำพวกหนังสือขายดีของ นิวยอร์ค ไทม์ มาอ่าน จะแปลเป็นไทยแล้วก็ถือว่าไม่เสียหาย...เมื่อเรามี มุมมองความคิดที่ึลึกซึ๊ง เราจะสามารถต่อยอด และทดลอง"เขียน" ลงบล็อก และทดลองประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับธุรกิจของเรา
และอีกอย่าง "ทักษะด้านคน" การฝึกทักษะบนโลกออนไลน์ก็ถือว่าดี และประหยัดเวลาในการเข้าถึงผู้คนได้ง่าย แต่ต้องไม่ลืมว่า การพบกันในโลกความจริง นั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน
3 ทักษะของผู้ประสบความสำเร็จ ที่กล่าวมา ผมได้เรียนรู้ในโรงเรียนธุรกิจเครือข่าย มากว่า 5 ปี ผมคิดว่านี่เป็นโรงเรียนสอนธุรกิจและชีวิตที่ดีที่สุด โรงเรียนที่เกิดจากการลงมือทำ ลองผิดลองถูก มีผู้นำทาง มีพี่เลี้ยง ที่แนะนำเรา ให้กำลังใจเรา...จนทำให้ชีวิตวันนี้ของผมแตกต่างจาก 5 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
สุดท้าย...ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า...ไม่ว่าทุกท่านจะทำงานอะไรอยู่...อย่าลืม!! "ทักษะ" ทั้ง 3 อย่างนี้ พยายามพัฒนา ปลูกฝัง สิ่งเหล่านี้จนเป็น "อุปนิสัย" กล้าที่จะผิดพลาดเพื่อเรียนรู้ กล้าลงมือทำ เพื่อลองล้มเหลว เพื่อให้ได้มาสิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์"
"ในการเดินทางค้นหาสัจธรรม มีเพียง 2 อย่างเท่านั้นที่เราอาจทำผิดพลาด
นั่นคือ...ไม่เดินต่อไปจนสุดทาง กับ ไม่ออกค้นหาเลย"
-- เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งวงศ์ศากยะ --